วันอาทิตย์ที่ 7 กันยายน พ.ศ. 2551

อย่าตัดสินคน ด้วยขนมเพียง 1 ห่อ



ที่สนามบินนานาชาติระดับโลก มีนักธุรกิจหญิงแต่งตัวดี
จำเป็นต้องรอเวลาถึง3 ชั่วโมง ในการเปลี่ยนเครื่องบินเพื่อไปจุดหมายปลายทาง
เธอจึงตัดสินใจเดินไปซื้อหนังสือ 1 เล่ม และคุ๊กกี้ 1 ห่อ
และเตรียมหาที่นั่งเพื่ออ่านและกิน ฆ่าเวลาไปพลาง ๆ

เธอสอดส่ายมองหาที่นั่งได้ 1 แห่ง
เมื่อนั่งลงก็เตรียมหนังสือและคุ๊กกี้
เพื่ออ่านและกินไปพลาง ๆ เธอสังเกตเห็นว่าข้าง ๆ เธอมีชายหนุ่ม
ซึ่งนั่งเหยียดกายอย่างไม่สนใจใคร ว่าจะมีใครนั่งอยู่ข้าง ๆ เขา

สักครู่หนึ่ง ขณะที่เธออ่านหนังสือ
ชายหนุ่มก็หยิบขนมคุกกี้ออกจากถุง



ซึ่งวางอยู่ระหว่างคนทั้งสอง แล้วกินมันอย่างละชิ้น
เธอมองด้วยความโกรธ...!!1
แต่ไม่ต้องการทำเรื่องวุ่นวาย เธอจึงทำเป็นไม่สนใจ
เธอเริ่มรู้สึกเบื่อที่จะกินคุ๊กกี้และเฝ้ามองนาฬิกา

ในขณะที่ชายหนุ่มซึ่งเป็นผู้ขโมยไร้ยางอาย...กำลังกินมันให้หมดสิ้นไป
เธอเริ่มโมโหและคิดในใจว่า



"ถ้าฉันไม่ใช่ผู้ดีมีการศึกษาแล้วละก็....ฉันจะชกหน้าเจ้าหมอนี้ให้แหลกไปเลย"

ทุกครั้งที่เธอหยิบกิน 1 ชิ้น ชายหนุ่มก็หยิบมันกิน 1 ชิ้น
ทั้งสองส่งสายตามองกัน...เมื่อคุ๊กกี้เหลือเพียงชิ้นสุดท้าย
เธอหยุดและอยากรู้ว่าชายหนุ่มจะทำอย่างไร
ชายหนุ่มค่อย ๆ หยิบคุ๊กกี้ชิ้นสุดท้ายแล้วหักออกเป็น 2 ชิ้น
ส่งให้เธอครึ่งชิ้นและกินเองครึ่งชิ้น....

เธอรับจากชายหนุ่มอย่างรวดเร็วและคิดในใจว่า
"เขาช่างเป็นคนไร้มารยาทสุดๆ ช่างไร้การศึกษา ไม่มีแม้แต่พูดขอบคุณสักคำ"
เธอลุกขึ้นหยิบข้าวของทั้งหมดแล้วตรงไปยังประตูขึ้นเครื่อง
ไม่แม้แต่เหลียวหลังกลับมามองหัวขโมยผู้ไร้มารยาทซึ่งยังนั่งอยู่ที่เดิม

ภายหลังจากขึ้นเครื่องและนั่งประจำที่อย่างสบายแล้ว
เธอก็หยิบหนังสือที่อ่านค้างอยู่ขึ้นมาอีกครั้ง
ในขณะที่หยิบหนังสือจากกระเป๋า ก็พบว่ามีขนมคุ๊กกี้ 1 ห่อ เธอตกใจมาก
ถ้าคุ๊กกี้ของฉันยังอยู่ที่นี่ ก็แปลว่า.....
คุ๊กกี้ห่อนั้นเป็นของชายหนุ่มที่แบ่งให้เธอกิน

เธอลุกขึ้นทันที แล้ววิ่งออกจากเครื่องบินไปยังที่นั่งของชายหนุ่ม
แต่คงเหลือแต่ที่นั่งว่างเปล่า
มันสายไปเสียแล้วที่จะได้ขอโทษชายหนุ่ม ระหว่างเดินกลับเข้าเครื่อง
เธอรู้สึกเจ็บปวดหัวใจ เธอนั่นเองที่ไร้มารยาท
เป็นหัวขโมยที่ไร้การศึกษาตัวจริง...

มีกี่ครั้งในชีวิตของคนเรา ที่ค้นพบในภายหลังว่า
สิ่งที่เกิดขึ้นนั้นมันไม่ใช่เรื่องจริง มันเป็นการเข้าใจผิด...
มีกี่ครั้งในชีวิตที่เราขาดความไว้วางใจผู้อื่น...
และทำให้เราตัดสินผู้อื่นจากความคิดเย่อหยิ่งของเราเอง
ซึ่งห่างไกลจากความเป็นจริงมากมาย

นี่แหละที่ทำให้เราต้องคิดซ้ำแล้วซ้ำอีกก่อนตัดสินผู้อื่น
หลาย ๆ สิ่งไม่ได้เป็นอย่างที่เห็น ควรมองผู้อื่นในแง่ดี
แล้วคอยสงสัยตัวเองว่า…..

"เรามองโลกในแง่ดีพอแล้วหรือยัง? และ
เราเคยแบ่งปันอะไรแก่คนอื่นบ้างหรือไม่"
อยากให้ทุกๆที่เข้ามาในบล็อกของผึ้ง ลองคิดตามดูนะจ๊ะ

เผื่อจะได้ข้อคิดอารายดีๆๆๆ ^^

วันเสาร์ที่ 6 กันยายน พ.ศ. 2551

แม่ใจยักษ์ทิ้งลูกศาลาริมถนน

เมื่อวันที่ 31 ส.ค. ที่ผ่านมามีคนพบเด็กทารกถูกทิ้งอยู่ในกระเป๋าเดินทางสีดำ ซึ่งคิดว่า เด็กทารกคนนี้ น่าจะพึ่งคลอดมาได้แค่ประมาณ 3-4 ชั่วโมงเท่านั้น เพราะที่สายสะดือของเด็กทารก ยังมีสายรกติดอยู่
คนที่พบเด็กทารกคนนี้ ได้ขอรับตัวเด็กคนนี้ไปรับเลี้ยงดู เพราะตัวเองไม่มีลูก ในตอนนี้ ตำรวจกำลังเร่งจับตัวแม่ใจร้ายที่เอาลูกของคนเองมาทิ้งได้ลงคอ น่าสงสารเด็กที่ถูกทิ้งจังเรยเน๊าะๆๆๆ


วันจันทร์ที่ 25 สิงหาคม พ.ศ. 2551

ไทยปรับเวลาใหม่ ให้ตรงกันทั่วประเทศ

จากความเหลื่อมล้ำทางเวลาของไทย จนทำให้ไม่ เป็นมาตรฐาน สถาบันมาตรวิทยา กระทรวงวิทยาศาสตร์ และเทคโนโลยี จึงดำเนินการปรับเปลี่ยนเวลาของไทยใหม่ทั่วประเทศ เพื่อให้ถูกต้องแม่นยำตามหลักสากล ทั้งนี้ เมื่อวันที่ 5 ส.ค. พล.อ.ต.ดร.เพียร โตท่าโรง ผอ. สถาบันมาตรวิทยาแห่งชาติ เปิดเผยว่า ขณะนี้สถาบันมาตรวิทยาฯ จะดำเนินการปรับเปลี่ยนเวลาของประเทศ ไทยใหม่ทั่วประเทศ เพื่อให้ถูกต้องแม่นยำตามหลักสากล เพราะที่ผ่านมามาตรฐานเวลาของไทยไม่เคยตรงกันซึ่งจะเป็นไปตามประกาศกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร (ไอซีที) เรื่องหลักเกณฑ์การเก็บรักษาข้อมูลจราจร ทางคอมพิวเตอร์ของผู้ให้บริการ พ.ศ.2550 ถูกต้องแม่นยำตามหลักสากล ซึ่งจะมีพระราชบัญญัติ ว่าด้วยการกระทำความผิด โดยมีผลบังคับใช้ในวันที่ 23 ส.ค.นี้

โดยกำหนดให้ผู้ประกอบ 4 ประเภท ดังนี้ 1. ผู้ ประกอบกิจการโทรคมนาคมและกิจการกระจายภาพและเสียง อาทิ ผู้ให้บริการโทรศัพท์ขั้นพื้นฐาน โทรศัพท์ เคลื่อนที่ ผู้ให้บริการเอทีเอ็ม เป็นต้น 2. ผู้ให้บริการการเข้าถึงระบบเครือข่ายคอมพิวเตอร์ อาทิ ผู้ให้บริการอินเตอร์เน็ต เจ้าของหอพัก โรงแรม หน่วยราชการ บริษัทต่างๆ เป็นต้น 3. ผู้ให้บริการเช่าระบบคอมพิวเตอร์ และ 4. ผู้ให้บริการร้านอินเตอร์เน็ตต่างๆ ผู้ให้บริการทั้งหมด ต้องปฏิบัติตามกฎหมายอย่างเคร่งครัด หากไม่ปฏิบัติตามตามกฎหมายของกระทรวงไอซีที จะต้องมีโทษปรับประมาณ 1-5 แสนบาท

พล.อ.ต.ดร.เพียรกล่าวอีกว่า สำหรับประชาชนทั่วไป หากต้องการตั้งเวลาให้เป็นมาตรฐาน ขณะนี้สถาบันมาตรวิทยาฯ ได้ประสานกับกรมอุทกศาสตร์ กองทัพเรือ เพื่อตั้งเวลามาตรฐานสำหรับประเทศไทยแล้ว และกำลังประสานกับกรมประชาสัมพันธ์ เพื่อเทียบเวลาผ่านทางสถานีวิทยุเอฟเอ็ม เพื่อให้ประชาชนเทียบเวลาทางวิทยุเอฟเอ็มได้ แต่ต้องมีตัวสัญญาณรับที่เรียกว่า ไทม์ เซิร์ฟเวอร์ ติดที่นาฬิกาที่ต้องการจะเชื่อมกับสัญญาณเอฟเอ็มด้วย ในส่วนนี้ทางสถาบันมาตรวิทยาฯ จะประสานกับบริษัทที่ผลิตนาฬิกา เพื่อผลิตนาฬิกาพิเศษที่ตรงเวลา และมีความแม่นยำมากที่สุด

“การปรับเปลี่ยนเวลาใหม่ครั้งนี้ ถือว่ามีความสำคัญมาก เพราะทุกคนต้องการความแม่นยำ โดยเฉพาะหน่วยงานที่ทำงานเกี่ยวข้องกับข้อมูล เรื่องของความมั่นคง เรื่องของสุขภาพ การทดลองทางวิทยาศาสตร์ พวกสัญญาณดาวเทียม และที่สำคัญงานทางด้านนิติวิทยาศาสตร์ ที่จะช่วยแกะรอยของอาชญากรรม และสามารถใช้เป็นหลักฐานมัดตัวผู้กระทำผิดได้ โดยมีเวลาเป็นเครื่องยืนยันการกระทำ เห็นได้ชัดจากกรณีใบแดงของนายยงยุทธ ติยะไพรัช เกี่ยวกับการทำผิดกฎหมายเลือกตั้ง หลักฐานสำคัญก็มาจากเรื่องของเวลา” ผู้อำนวยการ มว. กล่าวและว่า ที่ผ่านมาเวลาของประเทศไทยไม่มีมาตรฐานแน่นอน และไม่ตรงกัน เห็นได้ชัดเจนที่สุดช่วง 08.00 น. และ 18.00 น. ที่เป็นช่วงเคารพธงชาติ แต่ละจังหวัดเวลาเคารพธงชาติจะไม่เท่ากันเลย แม้กระทั่งฟรีทีวีในบ้านเมืองก็ยังมีเวลาไม่ตรงกัน


แหล่งที่มา :
http://www.thairath.com/offline.php?section=hotnews&content=99584

วันอังคารที่ 19 สิงหาคม พ.ศ. 2551

กรุงเทพจมใต้บาดาลจากภาวะ Strom Search สมิทธ ฟันธง!!!!!!!


สิ่งที่น่ากลัว กำลังใกล้เข้ามา

"ส.ค.-ต.ค."พายุใหญ่ถล่มไทย สมิทธฟันธงกทม.จมใต้บาดาล "สมิทธ" ฟันธง "ส.ค.-ต.ค." พายุใหญ่ถล่มประเทศไทย ทำให้ กทม.จมบาดาล ระบบประปาพินาศ คนเมืองหลวงไม่มีน้ำใช้ จี้หน่วยงานรัฐเร่งหามาตรการรับมือโดยด่วน ขณะที่อดีตนายกสภาวิศวกรรมสถานฯ หวั่น "วัดพระแก้ว" เสียหายหากเกิดน้ำท่วมพระบรมมหาราชวัง

การออกมา แจ้งเตือนให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเตรียมตัวรับมือกับภัยพิบัติครั้งใหญ่ ที่อาจจะเกิดขึ้นกับประเทศไทย โดยเฉพาะในพื้นที่กรุงเทพมหานครของ ดร.สมิทธ ธรรมสโรช ผู้อำนวยการศูนย์เตือนภัยพิบัติแห่งชาติ ครั้งนี้ เมื่อวันที่ 4 มิถุนายน ในการเสวนาเรื่อง "แผนรับมือวิบัติภัยในมหานครกรุงเทพ" ดร. สมิทธกล่าวว่า จากการศึกษาและติดตามสถานการณ์ภัยพิบัติมาโดยตลอด พบว่าภัยพิบัติที่จะกระทบ กทม.และปริมณฑล มีอยู่ 2 ประเภท คือ ภัยที่เกิดจากแผ่นดินไหว และภัยที่เกิดจากน้ำท่วมขัง ซึ่งเกิดจากสภาวะโลกร้อน โดยภัยที่เกิดจากแผ่นดินไหวเป็นภัยที่รุนแรงและมีผลกระทบต่อมนุษย์จำนวนมาก ทั้งนี้ ประเทศไทยมีรอยเลื่อนที่มีพลังอยู่ 13 รอย และจากการศึกษาพบว่า หลังจากเกิดเหตุการณ์สึนามิ รอยเลื่อนทั้งหมดเกิดรอยร้าวเพิ่มมากขึ้นตั้งแต่ปี 2547 ถึงปัจจุบัน ซึ่งการเกิดรอยร้าวดังกล่าวทำให้อาคารที่โครงสร้างไม่แข็งแรงใน จ.เชียงราย และ จ.เชียงใหม่ มีโอกาสถล่มลงมาได้
ดร.สมิทธกล่าวต่อว่า ในพื้นที่ กทม.อาจได้รับผลกระทบโดยตรงจากรอยเลื่อน 2 รอย คือ รอยเลื่อนศรีสวัสดิ์ และรอยเลื่อนเจดีย์สามองค์ จ.กาญจนบุรี หากเกิดแผ่นดินไหวซ้ำขึ้นมาอีก เชื่อว่าจะส่งผลให้เขื่อนศรีนครินทร์และเขื่อนวชิราลงกรณ์แตก และทำให้น้ำปริมาณกว่า 17 ล้านลูกบาศก์เมตร ไหลทะลักเข้าสู่ จ.ราชบุรี จ.นครปฐม และ กทม.

"กรุงเทพฯ ตั้งอยู่บนดินเลน เมื่อได้รับผลกระทบจากแผ่นดินไหวแล้ว ระยะสั่นสะเทือนจะขยายตัว 2-3 ริกเตอร์ ทำให้อาคารที่สูงไม่เกิน 6 ชั้น อาจแตกร้าวและพังทลายลงมา ส่วนอาคารสูงไม่น่าเป็นห่วง เพราะวิศวกรได้ออกแบบอาคารไว้รองรับอยู่แล้ว
อย่างไรก็ตาม ขณะนี้ประเทศไทยไม่มีความพร้อมในการรับมือกับแผ่นดินไหว โดยเฉพาะหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการให้ความช่วยเหลือกรณีเกิดภัยพิบัติ หากเกิดเหตุการณ์ขึ้นจริงอาจทำให้เกิดความเสียหายมาก" ดร.สมิทธกล่าว
ผู้อำนวยการศูนย์เตือนภัยพิบัติแห่งชาติกล่าวว่า ภัยที่เกิดจากน้ำท่วมขัง เนื่องจากสภาวะโลกร้อนขึ้นนั้น จากสถิติไม่เคยปรากฏมาก่อนว่าพายุที่เกิดในมหาสมุทรอินเดียจะมีแรงลมสูงมาก ถึงขนาดเป็นไซโคลน แต่ตอนนี้เกิดขึ้นแล้วคือพายุไซโคลนนาร์กีส ซึ่งมีความเร็วลมสูงถึง 140 กิโลเมตรต่อชั่วโมง และเมื่อขึ้นฝั่งในลุ่มน้ำอิระวดีในพม่า แรงลมสูงสุดถึง 240 กิโลเมตรต่อชั่วโมง มีความรุนแรงถึงระดับ 4

"ผมขอทำนายว่าในเดือน สิงหาคมถึงเดือนตุลาคมนี้ จะมีพายุขนาดใหญ่พัดถล่มประเทศไทย ทางด้านอ่าวไทย ไล่ตั้งแต่ จ.ชุมพร จ.สุราษฎร์ธานี และ จ.เพชรบุรี เข้ามา ซึ่งอาจทำให้เกิดปรากฏการณ์สตรอม เสิร์ช (Strom Search) หรือน้ำทะเลยกตัวสูงขึ้น
ปรากฏการณ์ ดังกล่าวจะทำให้น้ำทะเลไหลเข้ามาถึงบริเวณปากอ่าวเจ้าพระยา และเข้าท่วมพื้นที่ กทม. โดยกว่าจะไหลย้อนกลับสู่ทะเลต้องใช้เวลานานกว่า 2-3 สัปดาห์ และหากท่วมเหนือคลองประปา จะทำให้ประชาชนไม่มีน้ำในการอุปโภคบริโภค" ดร.สมิทธกล่าว

ด้านนายต่อตระกูลกล่าวว่า มีความเป็นห่วงว่าหากเกิดน้ำท่วมใหญ่ขึ้นจริงจะทำให้อาคารและสิ่งปลูกสร้าง ที่สำคัญหลายแห่งเสียหายโดยเฉพาะวัดพระแก้ว ซึ่งก่อสร้างในสมัยรัชกาลที่ 1 ไม่ได้มีการฝังเสาลงดิน หากเกิดน้ำท่วมในพื้นที่พระบรมมหาราชวังก็จะทำให้เสื่อมความแข็งแรงลงอย่าง รวดเร็ว ดร.วัฒนาระบุว่า มีความเป็นไปได้ที่ช่วงเดือนสิงหาคม-ตุลาคม

เพราะช่วงดังกล่าวเป็นช่วงฤดูฝน มีพายุพัดถล่มประเทศไทยมาแล้วหลายครั้ง อย่างเช่น พายุไต้ฝุ่นเกย์ พายุไต้ฝุ่นลินดา ที่สร้างความเสียหายให้แก่ประเทศไทยเมื่อหลายปีก่อนก็เกิดขึ้นในช่วงนี้ ดร. วัฒนากล่าวต่อว่า สภาวะโลกร้อนอาจส่งผลให้ความรุนแรงของพายุเพิ่มมากขึ้นจากเดิมถึง 2 เท่า หากพายุพัดเข้าสู่พื้นที่ที่เป็นเมืองก็อาจทำให้เกิดความเสียหายอย่างหนัก โดยเฉพาะหากพายุเคลื่อนเข้าประเทศไทยทางฝั่งภาคตะวันออกจะทำให้เกิดผลกระทบ ต่อพื้นที่ กทม.โดยตรง ซึ่งมีความเป็นห่วงว่า

หากมีพายุพัดเข้าบริเวณปากแม่น้ำเจ้าพระยาจะสร้างความเสียหายอย่างรุนแรง ให้แก่ กทม. เนื่องจากขณะนี้แม้จะมีการสร้างเขื่อนกั้นริมตลิ่งแม่น้ำเจ้าพระยาในหลายจุด แต่การสร้างเขื่อนที่ผ่านมาทำเพื่อรองรับปัญหาน้ำท่วมที่เกิดจากน้ำเหนือ ไหลหลาก
ไม่ได้มีไว้รองรับพายุที่พัดเข้ามาทางปากแม่น้ำเจ้าพระยา ขณะนี้บริเวณปากแม่น้ำยังไม่มีการก่อสร้างเขื่อน หากเกิดพายุพัดกระหน่ำจริง เขื่อนที่มีอยู่ก็ไม่สามารถป้องกันไม่ให้เกิดน้ำท่วมได้

ดร.วัฒนา กล่าวด้วยว่า มีความเป็นห่วงว่าหากช่วงเวลาที่เกิดพายุตรงกับช่วงที่ระดับน้ำทะเลขึ้นสูง สุดจะยิ่งทำให้เกิดความเสียหายร้ายแรง เพราะในช่วงเวลาดังกล่าวอาจทำให้เกิดคลื่นขนาดยักษ์พัดกระหน่ำบริเวณชายฝั่ง หากอาคารบ้านเรือนตามแนวชายฝั่งไม่แข็งแรงก็จะสร้างความเสียหายร้ายแรงทั้ง ชีวิตและทรัพย์สินของประชาชน ขณะนี้กรมอุตุนิยมวิทยามีการติดตามสภาพอากาศอย่างใกล้ชิด ซึ่งจะแจ้งเตือนประชาชนล่วงหน้า

แหล่งอ้างอิง : http://209.85.175.104/search?q=cache:AKy_YohE2EoJ:xchange.teenee.com/index.php%3F%26act%3DST%26f%3D2%26t%3D66280+Strom+Search&hl=th&ct=clnk&cd=3&gl=th&client=firefox-a

วันอาทิตย์ที่ 10 สิงหาคม พ.ศ. 2551

10สุดยอดสถาปัตยกรรมจีน ต้อนรับโอลิมปิค2008


รูปที่ 1. สนามบินนานาชาติปักกิ่ง


สนามบินโฉมใหม่ที่มีขนาดกว่า 1 ล้านตารางเมตร ซึ่งใหญ่กว่าเพนตากอนของสหรัฐอเมริกานี้ เป็นฝีมือของผู้ออกแบบสนามบินเช็กแลพก๊อกของฮ่องกงด้วย นั่นคือ Foster & Partners สถาปนิกนักเดินทาง ที่เข้าถึงจิตใจผู้โดยสาร ด้วยการออกแบบทางเดินแต่ละส่วนให้สั้นที่สุด ฟอสเตอร์ได้แบ่งอาคารที่กว้างขว้างใหญ่โตของสนามบินนานาชาติปักกิ่งออกเป็น 2 ข้าง ทอดตัวจากทิศใต้ไปสู่ทิศตะวันออก เพื่อช่วยลดไอร้อนจากแสงอาทิตย์ แต่ติดสกายไลท์ให้แสงแดดละมุนละไมได้ฉายส่องเข้ามา พร้อมทั้งใช้นวัตกรรมใหม่ที่ช่วยลดปริมาณก๊าซคาร์บอนภายในตัวอาคาร กำหนดสร้างเสร็จปี 2007 นอกจากนี้ จีนยังมีแผนที่จะสร้างสนามบินใหม่ถึง 108 แห่งระหว่างปี 2004-2009 ซึ่งรวมทั้งสนามบินนานาชาติปักกิ่งแห่งนี้ ที่จะเปิดให้บริการปลายปี 2007 เพื่อต้อนรับโอลิมปิก 2008 โดยจะสามารถรองรับผู้โดยสารได้ 43 ล้านคนในปีแรก และเพิ่มเป็น 55 ล้านคนในปี 2015


รูปที่ 2. เดอะคอมมูน กรุงปักกิ่ง

เดอะคอมมูน (The Commune) เกิดขึ้นตามความตั้งใจของคู่รักนักพัฒนาเรียลเอสเตท จางซิน และพานซื่ออี๋ ที่ลงทุนควักกระเป๋าให้นักสถาปัตย์ชั้นนำชาวเอเชีย 12 คน คนละ 1 ล้านเหรียญสหรัฐ เพื่อเนรมิตเฮาส์คอมเพล็กซ์หรูที่มีกลิ่นอายกำแพงเมืองจีนขึ้น ปัจจุบันเดอะคอมมูน เปิดให้บริการแล้วในส่วนที่เป็นโฮเทลบูติค ภายใต้การบริหารของเครือโรงแรมเคมปินสกี้ จากเยอรมนี ซึ่งยังมีโครงการส่วนต่อขยายเพิ่มเติมอีก เฟสแรกสร้างเสร็จเมื่อ 2002 และทั้งโครงการจะเสร็จสิ้นในปี 2010


รูปที่ 3. ศูนย์กลางการเงินของโลกที่เซี่ยงไฮ้

ศูนย์กลางการเงินแห่งใหม่ของโลกกำลังจะอุบัติขึ้นที่มหานครเซี่ยงไฮ้ ที่เขตการเงินหลู่เจียจุ้ย ในเขตผู่ตง ในรูปโฉมของตึกกระจกสูงเสียดฟ้า 101 ชั้น Kohn Pedersen Fox Architects ผู้ออกแบบเล่าว่า การสร้างให้ตึกต้านทานแรงลมได้ ถือเป็นความท้าทายของงานนี้ ในที่สุด จึงได้ออกแบบให้ยอดตึกเป็นรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้า พร้อมเจาะช่องตรงชั้นที่ 100 ซึ่งนอกจากจะปรับเป็นจุดชมวิวที่สูงที่สุดในโลกแล้ว ยังสามารถบรรเทาแรงลม ลดการแกว่งตัวไปมาของตัวตึกได้ด้วย กำหนดสร้างเสร็จปี 2008


รูปที่ 4. สระว่ายน้ำแห่งชาตินครปักกิ่ง

สระว่ายน้ำแห่งชาตินี้ สร้างขึ้นสำหรับการแข่งขันกีฬาโอลิมปิก 2008 โดยมีรูปลักษณ์เหนือจินตนาการคล้าย ก้อนน้ำสี่เหลี่ยมขนาดใหญ่ซึ่ง PTW and Ove Arup ออกแบบโดยใช้วัสดุเทฟลอนทำเป็นโครงร่าง เน้นใช้พลังงานแสงอาทิตย์ โดยจะนำมาใช้เดินเครื่องกรองน้ำเสียของสระน้ำที่ใช้เติมในสระจะถูกกักเก็บ ไว้ในอ่างเก็บน้ำขนาดใหญ่ที่ฝั่งไว้ใต้ดิน นอกจากนั้น เพื่อให้ดูเหมือนน้ำที่สุด สถาปนิกยังใช้เทคโนโลยีจากงานวิจัยของนักฟิสิกส์จาก Dublin’s Trinity College ที่สามารถทำให้กำแพงอาคารดูเหมือนฟองน้ำที่เคลื่อนไหวอยู่ตลอดเวลา ซึ่งนอกจากจะทำสระว่ายน้ำแห่งแดนมังกรนี้ดูดีเป็นเอกลักษณ์แล้ว ยังสามารถต้านทานกับแรงสั่นสะเทือนอันเกิดจากแผ่นดินไหวได้ด้วย กำหนดเสร็จปี 2008


รูปที่ 5. สถานีโทรทัศน์ส่วนกลางแห่งชาติ (CCTV) – นครปักกิ่ง

อาคารสำนักงานใหญ่ของสถานีโทรทัศน์ซีซีทีวี มีรูปลักษณ์ที่แหวกแนวไปจากตึกระฟ้าทั่วไป โดยเกิดจากสองอาคารที่ตั้งมุมฉากต่อเข้าหากัน มองดูเหมือนอุโมงค์ขนาดใหญ่ ซึ่งช่วยกระจายแรงลมที่ปะทะกับตึกได้เป็นอย่างดี ตึกใหม่นี้ออกแบบโดย Rem Koolhass และ Ole Scheeren ส่วนวิศวกรผู้คุมงานก่อสร้างคือ Ove Arup กำหนดสร้างเสร็จปี 2008


รูปที่ 6. Linked Hybid – นครปักกิ่ง

สถาปัตยกรรม แห่งที่อยู่อาศัยสมัยใหม่ Linked Hybid เป็นที่ตั้งของบ้าน 2,500 หลัง อพาร์ทเม้นท์ 700 ห้อง บนเนื้อที่ขนาด 1.6 ล้านตารางฟุต ถือเป็นตึกใหญ่สุดในโลกที่มีใช้ระบบชีวภาพในการทำความเย็นและให้ความอุ่น เพื่อรักษาอากาศทั้ง 8 ตึกให้คงที่ ในชั้นที่ 20 สร้างเป็นวงแหวน ‘บริการ’ ที่เชื่อมต่อกันทุกตึก ครบครันด้วยบริการต่างๆ ทั้งซักผ้ายันร้านกาแฟ Steven Holl และ Li Hu ยังออกแบบให้ ฝั่งท่อน้ำสองสายลึกลงไปใต้ดิน 100 เมตร สำหรับให้น้ำไหลเวียน ซึ่งเปรียบเสมือนเครื่องกระจายความร้อน และเครื่องทำความเย็นขนาดใหญ่ ที่ไม่ต้องพึ่งพาไฟฟ้าทำน้ำเดือดหรือแอร์ทำความเย็น ขณะเดียวกัน ยังมีระบบบำบัดน้ำเสีย ที่จะรวบรวมน้ำจากห้องครัวและอ่างน้ำทั่วอาคาร มาหมุนเวียนใช้ใหม่ในห้องส้วมกำหนดสร้างเสร็จปี 2008


รูปที่ 7. เมืองเศรษฐกิจตงถัน เจียงซู

เมืองเศรษฐกิจแห่งใหม่ของแดนมังกรอยู่ระหว่างวางแผน คาดว่าเฟสแรกจะเสร็จปี 2010 ออกแบบและพัฒนาโดย ซ่างไห่ อินตัสเทรียล คอร์ป ที่คาดว่าจะมีขนาดเทียบเท่ากับเกาแมนฮัตตัน ตั้งอยู่บนเกาะที่มีขนาดใหญ่เป็นอันดับ 3 ของจีน กลางลำน้ำฉางเจียง (แยงซีเกียง) ใกล้กับมหานครเซี่ยงไฮ้ ซึ่งจะสร้างเสร็จสมบูรณ์ในปี 2040 อย่างไรก็ตาม เฟสแรกของโครงการนี้ จะเรียบร้อยก่อนที่งานเอ็กซ์โปเซี่ยงไฮ้จะเปิดฉากขึ้นในปี 2010 ซึ่งจะมีประชากรราว 50,000 คน เข้าอยู่อาศัยที่นี้ จากนั้นอีก 5 ปี ระบบพิเศษต่างๆ จะเริ่มใช้งานได้ ไม่ว่าจะเป็น ระบบผลิตน้ำบริสุทธิ์ ระบบจัดการน้ำเสีย และการหมุนเวียนพลังงานมาใช้ใหม่ พร้อมด้วยถนนสายใหญ่ที่จะเชื่อตรงสู่นครเซี่ยงไฮ้อย่างสะดวกสบาย


รูปที่ 8. สนามกีฬาโอลิมปิก นครปักกิ่ง

สนามกีฬาหลายแห่งในโลก ออกแบบโดยเดินตามรอยสนามกีฬาชื่อดังของโลก โคลิเซี่ยมแห่งโรม แต่สนามกีฬานานาชาติของ Herzog & de Meuron ในปักกิ่งนี้พยายามที่จะคิดออกแบบใหม่ให้เอื้ออำนวยต่อสิ่งแวดล้อมปัจจุบัน มากขึ้น สถาปนิกจากสวิสเซอร์แลนด์ Herzog & de Meuron ต้องการที่จะช่องระบายอากาศตามธรรมชาติ ในสนามกีฬาโครงสร้าง 91,000 ที่นั่ง อาจถือได้ว่า เป็นสนามกีฬาที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมที่ใหญ่ที่สุดในขณะนี้ สนามกีฬาดังกล่าวซึ่งมีกำหนดเสร็จปี 2008 จะเป็นที่ซึ่งใช้จัดพิธีเปิด-ปิดการแข่งขันโอลิมปิก 2008 มีลักษณะภายนอกคล้ายกับ รังนกที่มีโครงตาข่ายเหล็กสีเทาๆเหมือนกิ่งไม้ ห่อหุ้มเพดานและผนังอาคารที่ทำด้วยวัสดุโปร่งใส อัฒจันทร์มีลักษณะรูปทรงชามสีแดง ซึ่งดูคล้ายกับพระราชวังต้องห้ามของจีน ภาพโครงสร้างของสนามกีฬาแห่งนี้ จึงดูคล้ายพระราชวังสีแดง ที่อยู่ภายในรั้วกำแพงสีเทาเขียว ซึ่งให้กลิ่นอายงดงามแบบตะวันออก สำหรับบันไดภายในสนามกีฬาถูกสร้างให้กลมกลืนกับโครงตาข่าย ซึ่งให้ภาพลักษณ์ของความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันหรือเอกภาพ


รูปที่ 9. สะพานตงไห่ เชื่อมเซี่ยงไฮ้ กับ เกาะหยังซัน

สะพานข้ามทะเลแห่งแรกของจีน ซึ่งเปิดใช้อย่างเป็นทางการแล้วเมื่อเดือนธันวาคมปี 2005 สะพานดังกล่าวเป็นเส้นทางคมนาคมหลักในเขตเศรษฐกิจสามเหลี่ยมปากแม่น้ำแยงซี เกียง ใช้เงินลงทุนราว 1,200 ล้านเหรียญสหรัฐ ส่วนโครงสร้างหลักมีความยาว 32.5 กิโลเมตร กว้าง 31.5 เมตร มีทางรถวิ่ง 6 เลน และเพื่อความปลอดภัยในการรับมือกับพายุไต้ฝุ่นและคลื่นลมแรง สะพานตงไห่ถูกออกแบบให้เป็นรูปตัวเอส (S) เชื่อมจากอ่าวหลู่หูในเขตหนันฮุ่ยเมืองเซี่ยงไฮ้ ข้ามอ่าวหังโจว ไปยังเกาะเสี่ยวหยังซันในมณฑลเจ้อเจียง ที่ได้วางแผนไว้ให้เป็นท่าเรือการค้าเสรีแห่งแรกของจีน (และจะเป็นท่าคอนเทนเนอร์ที่ใหญ่ที่สุดของโลก) ซึ่งจะแล้วเสร็จในปี 2010

รูปที่ 10. โรงละครแห่งชาตินครปักกิ่ง

ตั้งอยู่กลางนครปักกิ่ง ใกล้กับจัตุรัสเทียนอันเหมิน มีเนื้อที่ 490,485 ตารางฟุต มีกำหนดเปิดใช้อย่างเป็นทางการในปี 2008 โครงสร้างภายนอกประกอบขึ้นจากกระจกผสมไทเทเนี่ยม ดูคล้ายกับทะเลสาบ


แหล่งที่มา : http://www.tlcthai.com/webboard/view_topic.php?table_id=1&cate_id=31&post_id=14248